thai

คิดถึงเมืองไทย

คิดถึงเวลานั่งมองวัยรุ่นที่สยามที่วิ่งจากร้านคาเฟ่ไปเรียนพิเศษในชุดนักเรียน คิดถึงร้านซ้งเป็ดพะโล้ที่เปิดจนดึก จำได้ว่าตอนกินครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 2018 อากาศที่กรุงเทพฯ ลดลงไปจนถึง 17 องศาตอนเวลาห้าทุ่ม ผมไม่อยากจะเชื่อว่ารสชาติของซ้งเป็ดพะโล้จะเหมือนกับรสชาติที่คุณยายของผมเคยทำให้กิน คิดถึงการตื่นนอนตอน 7 โมงเช้า แล้วเดินไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง จากนั้นก็เดินต่อไปที่วัดไตรมิตรเพื่อเอาพระเครื่องให้หลวงพ่อให้พร ผมไปที่วัดนี้มากกว่า 18 ปีแล้ว หลวงพ่อได้เห็นผมเติบโตขึ้น คิดถึงการเดินเล่นบนถนนสุขุมวิทในวันสุดท้ายตอนผมไปเที่ยวเมืองไทยทุกครั้ง ตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปกรุงเทพฯ ได้ และผมก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาทบทวนชีวิตของตัวเอง คิดถึงถนนเยาวราช ถนนแคบ ๆ ที่รถและผู้คนเบียดเสียดกัน รวมถึงกลิ่นหอมของเนื้อย่างทุกๆ หัวมุม คิดถึงความเงียบสงบของหัวหิน เวลากลางคืน มันมืดจนมองไม่เห็นแม้ว่าผมยกมือขึ้นมาดูใกล้ๆ หน้า แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงจิ้งหรีดไกลๆ คิดถึงเขาเสม็ดนางชีที่อำเภอตะกั่วทุ่ง มันเป็นเขาที่สวยที่สุดที่ผมเคยเจอ คิดถึงเสียงของคนไทย มันคือภาษาที่ผมฝึกอยู่สี่ปี และผมก็ฝึกฟังภาษาไทยใน Youtube, Facebook และตอนขับรถ ทุกครั้งที่ผมได้ยินคนไทยพูดไทยในสิงคโปร์ ผมจะตั้งใจฟังเพราะผมรู้สึกว่าได้เจอคนรู้จักในต่างประเทศ คิดถึงรอยยิ้มของคนไทย เพราะผมรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และทำให้คนไทยยิ้มไม่ออก ผมหวังว่าโรคระบาดจะหายไปเร็วๆ นี้ และคนไทยจะกลับมายิ้มได้อีกครั้ง คิดถึงพลังของคนไทยที่รวมใจเป็นหนึ่งเดียวเมื่อเจอเรื่องร้าย แม้ว่าคนไทยเหล่านั้นจะไม่รุ้จักพวกเขาก็ตาม เช่น ตอนที่เด็ก 13

ผู้จัดการคนนี้ไม่มีใบรับรอง

ร้านอาหารแห่งนี้ชื่อว่า Miki เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินของห้าง Katong เมนูที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ก็คือ แกงหัวปลา ข้าวอบหม้อดิน และก็อาหารพื้นบ้านจีน แม้ว่าผมไปห้าง Katong ตั้งแต่ปี 1980 แต่ผมเพิ่งจะเริ่มไปร้าน Miki ประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นไม่เคยรู้สึกว่าอาหารมันพิเศษกว่าร้านอื่น จริงๆ แล้วอาหารที่อร่อยกว่า ถูกกว่า และอยู่ใกล้บ้านผมมากกว่าก็มี รสชาติอาหารที่ร้าน Miki ไม่สามารถดึงดูดผมได้มากเท่ากับบรรยากาศเก่าๆ ของร้าน ผมใช้เวลาอยู่กับห้าง Katong มากกว่า 10 ปี ขณะที่หลายร้านในห้างนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เมื่อก่อนเคยมีร้านคอมพิวเตอร์ แต่ตอนนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นร้านจัดหาแม่บ้าน แต่ร้าน Miki ยังคงรักษาบรรยากาศเก่าๆ แบบเดิมไว้ได้ ทุกครั้งที่ไปร้าน Miki ผมต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะว่าข้าวอบหม้อดินต้องใช้เวลาทำประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้น ผมสังเกตได้ว่าพนักงาน เชฟ และก็หัวหน้าผู้หญิงกำลังทำงาน

เมีย

วันที่ 27 พฤศจิกายนเป็นวันครบรอบแต่งงาน 13 ปีของผมและจอยซ์ แล้วก็เป็นปีที่ 17 ที่เราเจอกัน เราไปดูคอนเสิร์ตตอนไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปข้างนอกด้วยกันทุกอาทิตย์ ในที่สุดเราก็แต่งงานกันเมื่อปี 2006 ถึงช้าหน่อยแต่ก็ชัวร์ ความรักของเราได้กลายเป็นความผูกพันธ์นับจากวันนั้น การใช้ชีวิตกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะนิสัยและสิ่งที่สนใจของเราสองคนนั้นต่างกันมาก ภรรยาชอบดูหนังเกาหลี แต่ผมชอบดูละครไทย เขาชอบกินของหวาน แต่ผมชอบกินอาหารเผ็ดๆ ส่วนเรื่องการสอนลูกนั้น จอยซ์คิดว่าต้องเข้มงวดกับลูกๆ แต่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนกับลูกน่าจะดีกว่า ในวันเสาร์อาทิตย์ เขาชอบนอนตื่นสาย แต่ผมกับโซอี้ชอบตื่นเช้า เพราะจะได้มีเวลาทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง จอยซ์คิดว่าผมเป็นคนที่สกปรก เขาสงสัยว่าทำไมผมไม่ใส่รองเท้าแตะในห้องครัว และผมก็ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมห้องครัวถึงสกปรกมากกว่าห้องอื่นๆ ในบ้าน ในขณะเดียวกันผมกับจอยซ์มีอย่างนึงที่เราเหมือนกันมากกว่าคนอื่นๆ บนโลกนี้ นั่นก็คือ เราทั้งคู่ต่างก็รักโซอี้และแอลลี่เหมือนกัน เรากังวลเรื่องลูกๆ ตลอดเวลา และเราทั้งคู่ก็ไม่อยากขออะไรไปมากกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา เราจะกังวลตลอดว่าตอนนี้เขาได้กินข้าวรึยัง และเราทั้งคู่ได้ทำงานหนักมากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้หรือไม่ เราทั้งคู่ก็อยากให้ทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพที่ดี และอยากให้ครอบครัวของเราเป็นอย่างนี้ไปตลอด ผมและภรรยาอาจจะมีนิสัยที่แปลก และแตกต่างกัน แต่เราทั้งคู่ก็ยังเป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างมีความสุข สุขสันต์วันครบรอบ 13 ปี และอีกหลายปีต่อๆ ไป

จดหมายถึงโซอี้

เฮ้ สวัสดีโซอี้ พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดหนู หนูจะอายุ 10 ขวบแล้วนะ 10 ปีที่แล้ว หนูเข้ามาอยู่ในชีวิตของพ่อ และชีวิตของพ่อก็ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น พ่อจำได้ว่าวันนั้นตอนตี 5 คืนก่อนหน้านั้น พ่อกับแม่ยังพูดเล่นกันอยู่เลยว่าถ้าหนูออกมาจากท้องแม่วันพรุ่งนี้ หนูก็จะได้เกิดวันเดียวกันกับพ่อเลย แล้วมันก็เป็นจริง เพราะหนูอยากให้พ่อเป็นของขวัญวันเกิดของหนู ตั้งแต่หนูเกิด ชีวิตของพ่อก็ไม่เหมือนเดิมอีก เมื่อก่อนพ่อจะต้องใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ แต่ตอนนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าถ้าหนูอยากให้เล่นด้วย หรืออยากให้พ่อช่วยอะไร พ่อก็ต้องหยุดงานทุกอย่างเพื่อให้เวลากับหนู แต่จากนั้นไม่นาน พ่อก็เริ่มชินที่มีหนูอยู่ด้วยตลอดเวลา และก็ต้องคอยเช็คว่าหนูต้องการอะไร พ่อจะต้องคิดถึงหนูก่อนตัวเองเสมอ เวลาผ่านไป หนูต้องเข้าโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็เข้าโรงเรียนประถม พ่อเป็นคนที่สอนภาษาอังกฤษและคณิตให้หนู ตอนที่หนูอยู่ป. 3 พ่อก็เป็นคนไปส่งหนูไปเรียนพิเศษทุกวันเสาร์ หนูชอบภาษาจีน แต่กลัววิชาเลข แต่ไม่ว่าหนูชอบหรือไม่ชอบเรียนอะไร หนูก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด เพราะหนูรู้ว่าถ้าทำคะแนนออกมาไม่ดี พ่อจะต้องเสียใจ หนูก็เลยตั้งใจและพยายามเรียนให้ดีขึ้น แต่หนูก็ยังกังวลและกลัวว่าจะทำให้พ่อผิดหวัง จริงๆ แล้ว พ่อก็คิดว่าไม่เป็นไรนะหนู พ่ออยากให้หนูทำทุกอย่างด้วยใจ ในชีวิตของหนู หนูจะเจอความท้าทายอีกหลายอย่าง และถ้าหนูพยายามและไม่ยอมแพ้ หนูก็จะไม่แพ้ พ่อคิดว่าหนูเป็นเด็กที่ใจดีและอ่อนโยน เพราะเวลาหนูทำอะไรหนูก็จะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ และหนูมักจะคิดก่อนด้วยว่าสิ่งที่ทำจะต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น นี่คือนิสัยของหนู

นั่งรถเมล์สาย 14 กลับบ้าน

รถเมล์สาย 14 เป็นรถเมล์ที่วิ่งยาวที่สุด ผมแอบขึ้นรถเมล์สายนี้ไปคนเดียวตอนอายุ 16 ผมตัดสินใจว่าจะลาออกจากโรงเรียนตอนม.ปลาย เพื่อไปเข้าเรียน ปวช. ต่อที่สิงคโปร์ โพลีเทคนิค แต่ตอนนั้นพ่อแม่ไม่เห็นด้วยกับผม 26 ปีก่อน ทางเดียวที่จะขึ้นรถเมล์ได้คือต้องยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งมันอยู่ใกล้ๆ บ้านผม จากนั้นผมก็จะลงรถที่ป้ายโพลีเทคนิค การเดินทาง 2.5 ชั่วโมงนี้ คือจุดเริ่มต้นแรกของอาชีพผมในตอนนี้ หลังจากนั้นผมก็รู้แล้วว่า ถ้าผมอยากไปถึงโรงเรียนเร็วๆ ผมจะนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Clementi แล้วก็ต่อรถเมล์ไปลงหน้าโรงเรียน ส่วนรถเมล์สาย 14 ผมจะขึ้นเฉพาะวันที่ต้องการการพักผ่อนเพิ่ม หรืออ่านหนังสือ เพราะผมมีเวลาอยู่บนรถ 2 ชั่วโมงครึ่ง แม้กระทั่งเมื่อผมอายุ 15 ผมก็นั่งรถเมล์สาย 14 ไปร้านขายเทป Francis ที่ห้าง Katong เพื่อเล่นวิดิโอเกมทุกวันศุกร์ ในตอนนั้น การเดินทางนั้นดูจะยาวนานเพราะว่าผมไม่มีความอดทนในการเดินทางไกลๆ เช่น การเดินทางไปทำงานที่อินเดีย ตอนที่ผมเริ่มทำ start up ในปี 2000 เวลา 1 ชั่วโมงที่อยู่บนรถเมล์ ผมสามารถอ่านหนังสือหรือทำงานบนโน้ตบุ๊คไปด้วยได้

คืนสุดท้ายในกรุงเทพฯ

ทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยวเมืองไทย ผมมักจะไปเดินเล่นที่ถนนสุขุมวิทในคืนสุดท้ายเป็นประจำ ทุกครั้งที่กลับมาเดินเล่นที่นี่ ผมเหมือนได้เดินอยู่ในถนนแห่งความทรงจำ ในปี 2002 ผมเริ่มเดินเที่ยวในกรุงเทพฯ หลังจากผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มสร้างซอฟต์แวร์ และทำธุรกิจ start-up ตอนนั้นระหว่างที่เดินเที่ยวกรุงเทพฯ ผมก็ได้ออกแบบระบบต่างๆในหัวไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นผมก็กลับมาสิงคโปร์เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ ในปี 2005 ขณะที่ผมกำลังเดินไปตามถนนสุขุมวิท ผมก็ได้ตัดสินใจว่าจะออกจากธุรกิจ start-up และเริ่มทำอาชีพที่เกี่ยวกับการศึกษา ผมก็เลยได้ทำงานเป็นครูถึง 6 ปี ผมรู้สึกมีความสุขกับอาชีพนี้มาก ในปี 2010 มีครั้งนึงผมคิดถึงโซอี้ ลูกสาวของผมมาก แต่เขาอยู่ที่สิงคโปร์ ตอนนั้นโซอี้อายุแค่ 3 เดือน ผมไปเที่ยวกรุงเทพฯ แต่ใจของผมอยู่กับโซอี้ที่สิงคโปร์ ในปี 2012 ผมเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งผมรู้สึกว่าพวกเขาไฮโซมากๆ ในปี 2015 เป็นการครบรอบ 4 ปีที่ผมลาออกจากอาขีพครู แต่ผมอยากกลับไปสอนอีกครั้ง ระหว่างที่ผมกำลังเดินเล่นบนถนนสุขุมวิท ผมก็ได้ตัดสินใจว่าจะกลับไปสอนหนังสืออีกยาวๆ ในปี 2016 ผมตัดสินใจเริ่มเรียนภาษาไทยอย่างจริงจัง เพราะผมจะได้เข้าใจดีขึ้นเมื่อพูดกับคนไทยระหว่างเดินไปตามถนนสุขุมวิท ในปี 2017 ผมพานักเรียน

นักท่องเที่ยวในประเทศของผม

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนของผมมาเที่ยวสิงคโปร์ ทันใดนั้นผมก็ต้องคิดว่าผมจะพาเขาไปที่ไหนดี ที่ที่เขาจะได้เข้าใจวิถีชีวิตของคนสิงคโปร์ที่ไม่เหมือนกับคนไทย แต่ผมก็นึกที่เที่ยวไม่ค่อยออก เพราะผมเองก็ไม่เคยเที่ยวในประเทศของตัวเอง ดังนั้นผมก็เลยถามเขา และเขาก็ตอบเหมือนกับคนไทยทุกคนก็คือเขาอยากไปเที่ยว Merlion ผมนึกได้ว่าผมเองก็ไม่รู้ว่า Merlion อยู่ตรงไหน เพราะว่าผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่คิดว่าไม่น่าจะยาก นอกจาก Merlion แล้ว ก็ยังมีที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่าไฮไลท์อยู่ที่อาหาร ผมชอบกินอาหารไทยมาก และคิดว่าน่าจะพาเขาไปลองชิมอาหารสิงคโปร์ดูบ้าง เพราะเราทั้งคู่อาจจะได้ค้นพบรสชาติใหม่ๆ ที่ต่างจากอาหารของประเทศเรา ผมนึกได้ว่าผมเองก็ไม่รู้ว่า Merlion อยู่ตรงไหน เพราะว่าผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่คิดว่าไม่น่าจะยาก นอกจาก Merlion แล้ว ก็ยังมีที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่าไฮไลท์อยู่ที่อาหาร ผมชอบกินอาหารไทยมาก และคิดว่าน่าจะพาเขาไปลองชิมอาหารสิงคโปร์ดูบ้าง เพราะเราทั้งคู่อาจจะได้ค้นพบรสชาติใหม่ๆ ที่ต่างจากอาหารของประเทศเรา 2 วันผ่านไป ผมได้รู้จักประเทศสิงคโปร์พอๆ กับเขา เขาบอกผมว่าเขาประทับใจในความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความเงียบสงบของประเทศสิงคโปร์ และผมก็ได้ค้นพบความจริงว่าความแตกต่างระหว่างสองประเทศนี้ทำให้ผมหลงรักประเทศไทย ผมชอบกรุงเทพฯ เพราะว่าเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดเวลา และในต่างจังหวัดก็มีธรรมชาติที่สวยงาม และไม่ว่าคุณจะอยากทำอะไรก็สามารถทำได้เมื่อคุณอยู่ในเมืองไทย ผมเคยได้ยินว่าความหมายของการท่องเที่ยวที่แท้จริงคือ การที่ได้พาคนคนนึงที่เบื่อสถานที่ที่นึงไปยังอีกสถานที่นึงที่เขากำลังจะเบื่อ ผมใช้เวลาทำความเข้าใจ 2 วันในการเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศของตัวเอง

นาฬิกาเรือนแรกที่ผมเป็นเจ้าของ

นาฬิกายี่ห้อ Titus เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ผมซื้อเมื่อปี 1998 ราคา 177.50 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ตอนนั้นผมเป็นทหารปีที่ 2 เงินเดือนของผมเกือบจะไม่พอซื้อมัน ผมไปที่ร้านหลายครั้งในเวลา 2-3 เดือน เพราะว่าผมชอบมองดูหน้าปัดนาฬิกาสีเขียวที่สะท้อนกับแสง ในที่สุดผมก็ซื้อมัน และผมก็ภูมิใจมากที่ได้เป็นเจ้าของนาฬิกาที่แพงที่สุดที่ผมเคยซื้อให้ตัวเอง ผมใส่นาฬิกา Titus เกือบทุกวัน ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนได้รับเงินเดือนเดือนแรกจากการเขียนซอฟต์แวร์ มาถึงตอนที่ผมทำสตาร์ทอัพ 4 ปี จนกระทั่งผมออกจากวงการเทคโนโลยีมาเป็นครู ผมก็ยังใส่นาฬิกา Titus อยู่ ผมใส่มันตั้งแต่ผมพบกับจอยส์ และขอเธอแต่งงาน จนกระทั่งถึงวันแต่งงานของเรา นาฬิกา Titus ได้เป็นตัวแทนสำคัญในช่วงเวลา 10 ปีของผม ในปี 2008 นาฬิกา Titus ก็ได้หยุดทำงาน เพราะผมทำมันหล่นซำ้แล้วซำ้เล่า จนหน้าปัดนาฬิกา มีรอยข่วนลึก นาฬิกา Titus เป็นนาฬิกาแบรนด์เนมเรือนแรกของผม แต่ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยสนใจนาฬิกาเท่าไหร่ จนกระทั่งผมเริ่มหานาฬิกาเรือนใหม่แทนเรือนเก่า ตอนครอบรอบวันแต่งงาน 10 ปี จอยซ์ถามว่าผมอยากได้อะไรเป็นของขวัญ ผมเลือกนาฬิกายี่ห้อ Seiko

นั่งคิดเรื่องเก่าที่ Katong

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ อยู่ในช่วงปี 1987 ถึง 1993 ซึ่งตอนนั้นผมกำลังจะโตเป็นวัยรุ่น มันเริ่มจากผมไปหาเกมคอมพิวเตอร์ที่ห้าง Katong วันนั้นผมไม่ได้ซื้อเกมคอมพิวเตอร์ แต่ผมได้ค้นพบโลกใหม่ของซอฟต์แวร์เถื่อนที่จุดประกายให้ผมสนใจในการเขียนโปรแกรม ในปีนั้นผมได้เรียนวิธีการเขียนโค้ด GW BASIC ด้วยตัวเอง แต่ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังเขียนไม่เสร็จ ปีต่อมาผมได้กลับไปที่ร้าน Hardware House และร้าน Basic Computer ในห้าง Katong เพื่อที่จะซื้อเกม อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และก็ซอฟต์แวร์สำหรับเขียนโปรแกรม ผมทำความรู้จักกับเจ้าของร้าน เขาก็เลยแนะนำวิธีการเล่นเกม และการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ให้ผม ในปี 1992 ตอนผมเป็นวัยรุ่น ผมก็ได้ค้นพบกับดนตรีร็อค ระหว่างที่ผมกำลังจะไปตัดผมในร้านที่อยู่ตรงข้ามกับห้าง Katong ผมได้ขึ้นไปที่ร้าน Smash Top 40 Music Mart ในร้านมีเทปคอนเสิร์ตหายากของวง Guns & Roses กับ วง Death Metal อื่นๆ เจ้าของร้านเทปชื่อลุงฟรานซิส เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ในเวลานั้น เพราะเขาชอบคุยกับเด็กวัยรุ่นเหมือนเป็นเพื่อนกัน

ความสุขของการช่วยเหลือผู้อื่นกลับคืน

หลายครั้ง เพื่อนๆ มักจะถามผมว่าอยากลองทำตัวอย่างหรือแชร์ไอเดียเกี่ยวกับโปรเจ็คที่ผมสนใจบ้างไหม เพราะเขาอยากชวนผมไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ผมกำลังสนใจอยู่ตอนนี้ ตราบเท่าที่ผมยังมีเวลา ผมไม่เคยปฏิเสธคำเชิญ เพราะว่าเวลาผมมีปัญหา เช่น แก้bugไม่ได้ ผมก็มักจะถามคนที่ไม่รู้จักทั้งออนไลน์ และแบบเจอตัว พวกเขาก็ยินดีที่จะช่วยผมแก้ปัญหาเสมอ โดยไม่หวังผมตอบแทน ผมก็เลยเชื่อว่าการที่เราช่วยเหลือคนอื่นกลับคืนนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมก็เลยทิ้งโค้ดที่เป็นประโยชน์ไว้ใน Github แล้วผมก็ชอบอ่านกระทู้ถาม-ตอบใน Stackoverflow ด้วย ถ้ามีคนส่งอีเมลมาถามคุณว่าจะช่วยเขาแก้bugได้ไหม คุณควรช่วยเขาเลย และหากมีคนมาขอให้คุณช่วยแชร์ความรู้เล็กๆ น้อยๆให้ คุณก็ควรตอบตกลงเช่นกัน คุณได้เพื่อนใหม่ซึ่งพวกเขาก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ จากคุณ พวกเขาเหล่านี้จะนำความรู้ที่ได้รับแชร์ให้คนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ความตั้งใจดีจากที่นี่ และความตั้งใจที่ดีจากที่นั้น จะนำมาสู่โลกใบใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม